ข่าว ธุรกิจออนไลน์ 100%

วันจันทร์ที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2565

หนังสือที่ต้องอ่าน

  




อยากให้ทีมของคุณไปไกล ทำยอดขายทะลุเป้า 4 เล่มนี้ ด่วนๆ หาซื้อได้ที่ร้านหนังสือ ทั่วไปจ้า บันเทิงแน่นอน


รีวิว



เรื่องการเงิน และการลงทุนนั้น เป็นหนึ่งในเรื่องที่สำคั​ญ​อย่างมากสำหรับชีวิตของทุกคน โดยเฉพาะ​อย่างยิ่งคนที่อยู่ในวัยทำงาน แน่นอนว่าวิธีการสร้างรายได้ และเพิ่มรายได้โดยการลงทุนนั้นมีหลายวิธี​ และวิธีที่ง่ายที่สุดสำหรับคนที่กำลังเริ่มต้นก็คือการหาความรู้

วิธีการที่ผู้เขียนชอบในการหาความรู้คือการอ่านหนังสือ และหนึ่งในหนังสือเกี่ยวกับการเงิน และการลงทุน ที่มีชื่อเสียงระดับโลก ก็คือหนังสือชุด 'พ่อรวย'​ ที่เขียนโดยคุณโรเบิร์ต คิโยซากิ นั่นเอง

หนังสือของคุณโรเบิร์ต​แต่ละเล่มต่างก็มีใจความสำคัญ​แตกต่างกันไป แต่มีเป้าหมายเหมือนกันคือเปิดมุมมองทางการเงินให้แก่ผู้อ่าน เพื่อให้เป็นอิสระทางการเงินได้โดยเร็ว​ ซึ่งหนังสือแต่ละเล่มของคุณโรเบิร์ต​ก็ช่วยให้ใครหลาย ๆ คน สามารถสร้างฐานะได้เร็วขึ้นเป็นจำนวนมาก

หนึ่งในความรู้เรื่องของการลงทุนที่คุณโรเบิร์ต​มักย้ำกับผู้อ่านเสมอในหนังสือแต่ละเล่มคือการทำธุรกิจ และแน่นอนว่าการทำธุรกิจสามารถแบ่งออกได้เป็นหลายประเภท แต่ละประเภทก็มีข้อดี และข้อเสียแตกต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละคน และหนึ่งในหนังสือที่พูดถึงการทำธุรกิจประเภทหนึ่งเอาไว้อย่างดีเยี่ยมนั่นก็คือหนังสือ The Business School ที่จะมารีวิวในวันนี้

หนังสือเล่มนี้เน้นไปที่การทำธุรกิจแบบเครือข่าย ซึ่งเป็นหนึ่งในรูปแบบที่ได้รับความนิยมอย่างมากในขณะนี้โดยเฉพาะธุรกิจออนไลน์​ สังเกตได้ง่าย ๆ จากแบรนด์​ต่าง ๆ ที่มีการรับสมัครตัวแทนจำหน่ายโดยแบ่งออกเป็นแต่ละระดับ หรือที่เรียกกันว่าดาวน์ไลน์นั่นเอง

สำหรับใครที่ได้รู้จักตัวอย่างมาแล้วคงจะมีบางส่วนที่รู้สึกอคติกับธุรกิจแบบเครือข่าย ไม่ว่าจะด้วยเพราะเหตุผลอะไรก็ตาม แต่ไม่ว่าคุณ​จะเป็นคนที่สนใจ หรือมีอคติกับธุรกิจแบบเครือข่าย เมื่อมาอ่านหนังสือเล่มนี้ความคิดของคุณจะเปลี่ยนไปในทันที

หลายคนที่แม้ว่าจะยังไม่ค่อยเข้าใจการทำงานของธุรกิจแบบเครือข่ายเท่าไหร่ แต่พอมาอ่านหนังสือเล่มนี้สักสองสามรอบ ก็เริ่มเห็นภาพที่กว้างใหญ่ขึ้น มีมุมมองทางธุรกิจ และการลงทุนที่ลึกซึ้ง​ขึ้น เพราะคุณ​โรเบิร์ต​ไม่ได้พูดถึงธุรกิจ​แบบเครือข่าย​เพียงอย่างเดียว แต่ส่วนใหญ่​จะพูดถึงภาพใหญ่​ของการลงทุน แล้วค่อยนำธุรกิจแบบเครือข่ายมาเปรียบเทียบข้อดีข้อเสียกับแบบอื่น ๆ มากกว่า
สำหรับใครที่ไม่มีความสนใจในธุรกิจ​แบบเครือข่าย​ก็สามารถอ่านได้ เพราะหนังสือเล่มนี้มีความรู้ที่มีคุณค่า​ที่ไม่ได้มีบอกเอาไว้ในหนังสือเล่มอื่น ๆ อยู่ไม่น้อย ซึ่งถ้าใครได้อ่าน และสามารถต่อยอดไปได้อย่างน้อยหนึ่งขั้น จะสามารถพัฒนา​ความรู้ความสามารถเกี่ยวกับธุรกิจ และการเงินของตนเองไปได้มากอย่างแน่นอน

หนึ่งในเสน่ห์​การเขียนของคุณโรเบิร์ต​คือมีการอธิบายสิ่งที่ยากให้เป็นคำพูดง่าย ๆ แต่มองเห็นภาพ และลึกซึ้ง​ ช่วยทำให้ความคิดของผู้อ่านแตกฉานมากยิ่งขึ้น ต่อให้เป็นคนที่ไม่เคยรู้เรื่องธุรกิจ หรือเคยอ่านหนังสือชุดพ่อรวยมาก่อน ก็สามารถอ่านให้เข้าใจได้ไม่ยาก

สำหรับคนที่ต้องการซื้อก็มีขายตามร้านหนังสือชั้นนำทั่วไป ราคาอยู่ที่เล่มละ 185 บาท เป็นของสำนักพิมพ์​ซีเอ็ดจ้า

**************************




        
เข้าใจสไตล์การขายของตัวเอง
ด้วยหนังสือ Sales Dogs พันธุ์นักขาย
หนังสือที่จะทำให้คุณเข้าใจสไตล์การขายของตัวเอง เน้นเอาจุดแข็งมาพัฒนาให้แข็งกว่า เพื่อสร้างยอดขายที่เพิ่มมากขึ้น โดยการทำงานให้เหมาะสมกับความสามารถและความถนัดของนักขายในแต่ละสายพันธ์ หนังสือเล่มนี้จะพัฒนาให้คุณเป็นสุดยอดนักขายในแบบของตัวคุณเอง และทำให้คุณค้นพบตัวตนของคุณ ในแบบที่คุณยังไม่เคยพบมาก่อน

คุณกำลังเป็นนักขายอยู่หรือเปล่า คุณอาจจะขายมานานแล้วแต่คุณยังไม่ประสบความสำเร็จใช่หรือไม่ หรือคุณยังไม่ค้นพบกับสไตล์การขายของตัวเองเสียที และคุณเองก็ยังไม่ประสบความสำเร็จในงานขายเท่าที่ควร ถ้าคุณประสบปัญหานี้ หนังสือเล่มนี้มีคำตอบ

โดยหนังสือเล่มนี้ ได้แบ่งนักขายออกเป็น 5 สายพันธุ์ เปรียบคล้าย ๆ กับสุนัข ที่มีนิสัยใจคอไม่เหมือนกัน เทคนิคการขายก็จะแตกต่างกันออกไป จะดีแค่ไหนถ้าคุณรู้ว่า ตัวคุณมีบุคลิกแบบไหน มีความโดดเด่น หรือจุดแข็งของคุณอยู่คืออะไร และสามารถดึงจุดแข็งที่เป็นความสามารถเฉพาะ ออกมาใช้ให้เกิดประโยชน์กับงานขายของคุณได้มากที่สุด

เมื่อคุณสามารถค้นพบความถนัด หรือนิสัยของแต่ละสายพันธุ์ ก็ไม่อยากที่จะดึงจุดแข็งนั้นออกมาใช้เพื่อการขายที่ประสบความสำเร็จ หรือเพื่อเพิ่มยอดขายให้ได้ตามที่คุณต้องการ หนังสือเล่มนี้ เขียนโดย Blair Singer ได้นำประสบการณ์ด้านการขาย จากที่เคยเป็นนักขายกับเพื่อนสนิท เจ้าของหนังสือชุดที่ปรึกษาพ่อรวย Robert Kiyosaki  ที่เคยทำงานขายมาด้วยกัน มาถ่ายทอดทั้งเทคนิค และทัศนคติที่มาจากประสบการณ์จริง

หนังสือเล่มนี้ จะสามารถทำให้คุณค้นพบจุดแข็งของตัวเอง และสามารถพัฒนาจุดแข็งให้แข็งกว่า และมีสไตล์การขายที่ไม่เหมือนใคร แต่เป็นการขายที่ประสบความสำเร็จในแบบของคุณ รวมถึงคุณจะสามารถเข้าในทีมขายที่คุณดูแลได้ดีอีกด้วย ด้วยเทคนิคของการวิเคราะห์ในหนังสือเล่มนี้ คุณจะสามารถพัฒนาการขายของคุณเองและดูแลทีมขายได้อย่างมีประสิทธิผลมากที่สุด ถ้าคุณรักที่จะขาย หรืออยากจะเป็นนักขายที่ประสบความสำเร็จ อย่าลืมหามาอ่านนะคะ
ข้างล่างนี้เป็นอีกรีวิวจากผู้อ่านอีกท่านค่ะ

                        ***********************

1. ทำไมต้องทำตามกฏ

เมื่อพูดถึงการขายการเป็นนักขายทำให้นึกถึงมีเรื่องเล่าที่เป็นตำนานเรื่องหนึ่งจะขอเล่าให้ฟัง

 

เรื่องมีอยู่ว่า...มีชายหนุ่มขายประกันสุขภาพคนหนึ่งบริษัทมีกฎว่าห้ามขายให้กับบริษัทที่มีพนักงานน้อยกว่า 50 คน แต่ชายหนุ่มคนนี้กลับไปขายให้กับบริษัทหนึ่งซึ่งมีพนักงานแค่ 16 คนและเป็น 16 คนที่สนใจด้วยเขาจึงกลับไปที่บริษัทและค้นหาข้อมูลว่าเขาจะปิดการขายได้อย่างไรทั้งๆที่มันเป็นกฎห้ามของบริษัทแต่ในที่สุดด้วยความพยายามเขาก็สำเร็จทำให้เขาขาย ให้กับคน 16 คนนี้ได้ซึ่ง 16 คนนี้ทำงานอยู่กับบริษัทคอมพิวเตอร์และในที่สุดชายหนุ่มคนนี้ก็สามารถขยายการขายประกันให้กับคนจากบริษัทคอมพิวเตอร์นี้ซึ่งได้ขยายตัวไปใหญ่โตทำให้มีพนักงานขยายไปได้ถึง 500 คน ก็ลองคิดดูว่ารายได้ของผู้ชายคนนี้จะมากแค่ไหนแค่เพียงเพราะเขาพยายามแหกกฎที่มีอยู่ ชายหนุ่มคนนี้ที่เป็นเซลล์ขายประกันเนี่ยก็คือไมเคิลเดลล์เจ้าของคอมพิวเตอร์ยี่ห้อ Dell นั่นเอง 

2.ทำไมต้องเป็นพันธ์นักขายด้วยสรุปความหมายในข้อนี้ก็คือเราทุกคนสามารถเป็นนักขายได้แต่ไม่จำเป็นต้องขายด้วยวิธีการรายเดียวกันคุณต้องค้นพบตัวเองเพราะในที่สุดแล้วทุกคนจะต้องมีสไตล์ของตัวเอง

 เพียงแต่ว่าคุณต้องพัฒนาทักษะเพิ่มเติมไม่ใช่ว่าเป็นตัวของตัวเองแล้วอยู่เฉยๆ

3.ทำไมต้องเปรียบเทียบแบบระบุสายพันธุ์ก็คือเพื่อให้เรารู้เขารู้เรา 

 เปรียบเทียบกับหมาได้ 5 แบบคือ

สายพันธุ์ที่ 1 คือพันธุ์พิทบูล



จะเป็นแนวก้าวร้าว รุนแรงพูดตรงๆขวานผ่าซาก เป็นสายที่กัดไม่ปล่อยถ้าเมื่อเป็นเซลล์ก็เป็นเซลล์ที่ประสบความสำเร็จยอดขายสูง ชอบขายทางโทรศัพท์เป็นขาลุยปิดการขายง่ายมากสำหรับคนพันธุ์นี้ข้อเสียคือเขาจะขาดความรอบคอบข้อมูลบางอย่างไม่ครบถ้วน 

---------------------------------------------------------------

สายพันธุ์ที่ 2 คือโกลเด้นรีทรีฟเวอร์เป็นสายน่าเอ็นดู 



เป็นพวกรอความหวังอย่างใจจดใจจ่อพวกโลกสวย มีความ Friendly สูงเป็นเพื่อนกับลูกค้าเอาอกเอาใจลูกค้า สายพันธุ์นี้เหมาะในเรื่องของการบริการการ service หลังการขาย 

---------------------------------------------------------------

สายพันธุ์ที่ 3 คือพุดเดิ้ลเขาจะออกแนวหรูหราไฮโซ



ฉันต้องสวยฉันต้องเลิศ ชอบตัดสินคนจากภายนอกแนวลื่นไหลทุกอย่างต้องดูดีสวยงาม ชอบเข้าสังคมออกแนวสายปาร์ตี้สายนี้จะสร้าง First impression ได้ดีคนเห็นปุ๊บจะชอบปั๊บทันที สายพันธุ์นี้จะเป็นนักสื่อสารชั้นยอดจึงถือว่าเป็นนักการนักการตลาดชั้นดีเพราะสื่อสารได้ทุกรูปแบบ ส่วนมากสายพูดด้วยเนี่ยเหมาะที่จะขายสินค้าประเภทมีมูลค่าสูงเช่นยัยนิดหน่อยขายเพชรนั่นแหละ 

---------------------------------------------------------------

สายพันที่ 4 คือชิวาวา คือเป็นสายที่ฉลาดมากๆ



ข้อมูลเพียบ แต่ต้องระวังนิดนึงถ้าเกิดว่าสายพันธุ์นี้ตื่นเต้นสุดๆจะพูดมากพูดไม่หยุด เป็นพวกลืมตัวควบคุมตัวเองไม่ได้เป็นสายพวก Hyper Active มาก มีความเก่งจดจำคุณสมบัติของสินค้าหรือ product ได้ดีมากๆ Present ได้อย่างดี ข้อเสียคือควบคุมอารมณ์ไม่ได้เวลาเขาโกรธแต่ข้อดีคือข้อมูลแน่นมากเหมาะที่จะทำงานคู่กับสายพันธุ์ที่ 2 คือโกลเด้นรีทรีฟเวอร์ซึ่งหากสังคมเก่งข้อมูลไม่มี 

---------------------------------------------------------------

สายพันธุ์ที่ 5 สายพันธุ์บาสเซ็ทฮาวด์

บาสเซ็ต ฮาวด์ เตี้ย สั้น ป้อม และห้อย!
มีบุคลิกซื่อสัตย์ตาละห้อยไม่หงุดหงิดไม่เครียดไม่หรูหราฟู่ฟ่าถ้าเป็นนักขายก็เป็นประเภทพูดตรงๆเป็นบุคคลธรรมดาธรรมดาสามารถสร้างสายสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งและระยะยาวได้ดี น่าเชื่อถือไม่กดดันไม่ตื้อ ไม่ใช่พลังงานมากเกินความจำเป็นดูแล้วมีความอ่อนน้อมน่าสงสารลูกค้ามักจะคิดว่าไว้ใจได้น่าเชื่อถือ 

---------------------------------------------------------------

***สายพันธุ์อีกสายพันธุ์หนึ่งเรียกว่าสายพันธุ์ใหญ่หรือขอเรียกว่าสายพันธุ์พรีเมี่ยมนั่นแหละ



เป็นสายพันธุ์ที่ฉีกแนวออกไปเลยคือเป็นพวกชอบเสี่ยงมีความกล้าคือพวกที่ชอบสร้างตัวเองให้เป็นตำนานให้คนอื่นเอาไปเล่าต่อ

ถ้าให้นึกถึงนักแสดงก็เหมือนประเภทJohn Wayneคลินต์อีสต์วูด พวกขาใหญ่เอาตัวรอดได้มีความกล้าลุยแหลกเลย 

พวกนี้จะสามารถเอาตัวรอดได้ในสถานการณ์ที่คับขันหรือยากลำบากถ้าจะให้สังเกตอีกทีนึงเขาก็ชอบอยู่ในแสงไฟชอบอยู่ในเวทีใหญ่ๆเราก็จะเห็นเยอะแยะเลยที่นักขายประเภท MLM ทั้งหลายในประเทศไทยที่ชอบขึ้นไปตบมือร้องเพลงแล้วก็รับรางวัลพวกนั้นน่ะก็คือพวกขาใหญ่นี่แหละ

สายพันธุ์นี้มักจะถือMottoว่าถ้าล้มก็ต้องล้มให้ดังถ้าสำเร็จก็ต้องเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่

จุดอ่อนของสายพันธุ์นี้ก็คือเขามีอีโก้และบางครั้งอาจจะไม่พูดความจริง

----------------------------------------


เนื้อหาโดยสังเขป
    หนังสือเล่มนี้จะทำให้คุณได้เรียนรู้วิธีทำให้ธุรกิจของคุณสนุก เลือกทีมที่ถูกต้อง สร้างกฎแห่งเกียรติยศ ที่จะทำให้ทีมของคุณดึงเอาสิ่งที่ดีที่สุดออกมา ฝึกให้คนอื่นสามารถสร้างความแตกต่างได้ทันที สอนให้คนอื่นเป็นคนที่ยิ่งใหญ่ได้ด้วยความเป็นผู้นำที่โดดเด่น สร้างความภักดี ความรับผิดชอบ และความมุ่งมั่นในทีม ตลอดจนการเผชิญกับอุปสรรคต่างๆ ด้วยความตั้งใจที่จะชนะ และวิธีการเป็นอันดับ 1 ในธุรกิจ
สารบัญ
บทที่ 1 สร้างทีมขายอันดับ 1 ในธุรกิจของคุณ
บทที่ 2 มันต้องสนุก
บทที่ 3 เลือกว่าใครจะอยู่ในทีม
บทที่ 4 สร้างกฎแห่งเกียรติยศเพื่อดึงเอาสิ่งที่ดีที่สุดออกมา
บทที่ 5 ฝึกซ้อมทักษะที่ทำให้เกิดความแตกต่างได้ในทันที
บทที่ 6 ความเป็นผู้นำที่สอนให้คนอื่นเป็นคนยิ่งใหญ่
บทที่ 7 ความภักดี ความรับผิดชอบ และความมุ่งมั่น
บทที่ 8 ความตั้งใจที่จะชนะ
บทสรุป และในที่สุด...โค้ชที่ยิ่งใหญ่นั้นก็ยังคงอยู่ตลอดกาล





เนื้อหาโดยสังเขป
    หนังสือเล่มนี้บอกเล่าวิธีการทีละขั้นในการสร้างกฎแห่งเกียรติยศอันแสนทรงพลัง สำหรับบุคคล กลุ่มบุคคล หรือบริษัท เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาตัวเองไปสู่ความสำเร็จและสร้างทีมให้ชนะ โดยจะบอกทีละขั้นตอน ยกตัวอย่าง และเล่ากรณีศึกษาในเรื่องของวิธีการสร้างกฎแห่งเกียรติยศ การนำกฎแห่งเกียรติยศไปใช้และผลักดันให้เป็นที่ยอมรับ การใช้กฎแห่งเกียรติยศควบคุมการเติบโตขององค์กรคุณ การสร้างทีมโดยการดึงคนที่ใช่เข้ามาอยู่ในทีมคุณ เพิ่มศักยภาพและประสิทธิภาพงานด้วยทีมของคุณ และเปลี่ยนความกดดันให้เป็นเพื่อนที่ผลักดันให้ผลลัพธ์ของทีมโดดเด่น เพื่อความสำเร็จในชีวิตและธุรกิจของคุณ
สารบัญ
บทนำ กฎแห่งเกียรติยศ
บทที่ 1 ทำไมถึงต้องมีกฎแห่งเกียรติยศ
บทที่ 2 ใครอยู่ในทีมคุณ-คนที่คุณอยู่ด้วยจะตัดสินความสำเร็จและความมั่งคั่งของคุณ
บทที่ 3 สร้างกฎแห่งเกียรติยศเพื่อดึงสิ่งที่ดีที่สุดออกมา
บทที่ 4 กฎส่วนตัวของคุณคืออะไร
บทที่ 5 จะบังคับใช้กฎอย่างไรเพื่อให้ได้การทำงานระดับแชมเปี้ยน
บทที่ 6 การเป็นผู้นำที่ช่วยสอนให้คนอื่นเป็นคนที่ดีเยี่ยมได้
บทที่ 7 ผลที่ใหญ่ที่สุดที่ได้จากกฎ
บทที่ 8 ต้องแน่ใจเรื่องความรับผิดชอบ ความภักดีและความเชื่อถือ
บทที่ 9 ลุยไฟไปได้ด้วยกฎแห่งเกียรติยศ
บทสรุป ถึงเวลาแล้วที่คุณจะต้องมีกฎแห่งเกียรติยศ

คำนิยม
องค์ประกอบสำคัญข้อแรกๆ ของการทำงานเป็นทีมคือ "ทัศนคติ" และ "ใจ" หรืออาจจะกล่าวได้ว่านั่นคือแรงขับเคลื่อนแรกที่ต้องเกิดก่อนองค์ประกอบอื่นที่จะตามมา หนังสือเล่มนี้ได้แตกความหมายของ "ทัศนคติ" และ "ใจ" ออกมาได้อย่างเห็นภาพได้ชัดเจน ถ้าผู้อ่านเข้าใจได้ถึงแก่นแท้ที่ผู้เขียนต้องการจะสื่อ จะสามารถสร้างพลังมหาศาลที่จะก่อให้เกิดทีมที่แข็งแกร่งได้อย่างแน่นอน ซึ่ง "ทีม" ในที่นี้ผมไม่ได้หมายถึงแค่เรื่องของงานหรือในวงธุรกิจ แต่ครอบครัว เพื่อน ญาติพี่น้อง ฯลฯ ก็ต้องการทีมที่แข็งแกร่งภายใต้หลักการเดียวกัน
    -- สีหพันธุ์ ชุมสาย ณ อยุธยา --
      รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร
         ฝ่ายการตลาดและการขาย
                สายการบินนกแอร์

*****************
สร้างทีมให้ชนะ (The ABCs of Building a Business Team That Wins)

การสร้างทีมให้ชนะ
คนเราทุกคนเกิดมาบนโลกใบนี้ล้วนสร้างกฎเกณฑ์ แนวทาง และข้อสรุปของตัวเองขึ้นมา ตามประสบการณ์ที่เคยมี และสมมติฐานของตัวเอง ซึ่งถือเป็นเรื่องธรรมชาติ แต่ในความ เป็นจริงแล้วคนเราจะต้องรวมกลุ่มกับคนอื่น ๆ กับองค์กรต่าง ๆ ที่มีวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน เราจึงจำเป็นต้องมีการสร้างกฎแห่งเกียรติยศสำหรับทีมงานโดยให้ทุกคนมีส่วนร่วม ในการกำหนดกฏกติกาของทีมสู่เป้าหมายในการทำงานร่วมกันต่อไป

การสร้างทีมงานที่เข้มแข็ง มีประสิทธิภาพ หลักสำคัญยิ่งคือการมีกฎ กติกาของกลุ่มหรือเรียก อีกอย่างว่า “กฎแห่งเกียรติยศ” ซึ่งเป็นการกำหนดมาตรฐานในการปฏิบัติงานของทีม อันจะก่อให้เกิดความสำเร็จแก่ทีมเป็นเสมือนกับหลักระยะทางของวัฒนธรรมองค์กร สำหรับแต่ละองค์กรที่จะมี เพราะว่ากฎนี้จะเป็นสิ่งที่สะท้อนถึงแนวคิด อุดมคติ และหลักการขององค์กรนั้นออกมา

การทำงานเป็นทีมนั้น สิ่งสำคัญคือทุกคนต้องมีเป้าหมายเดียวกัน ให้ความสำคัญกับ ภารกิจขององค์กรเป็นอันดับแรกสุด และการมีสมาชิกที่ดีอยู่ในทีม ซึ่งคุณสมบัติของสมาชิกที่พึงมีได้แก่

1. การมีพลังในการทำงาน
2. ความต้องการชัยชนะอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
3. พร้อมที่จะให้ผู้อื่นเป็นผู้ชนะ
4. เป็นคนรับผิดชอบ ไม่กล่าวโทษ ไม่หาข้ออ้าง
5. พร้อมที่จะทำตามกฏ
6. มีความสมารถหรือคุณสมบัติพิเศษ

หากเราต้องการทำงานร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทุกคนในทีมจะต้องสามารถสื่อสารและสร้างความเข้าใจ และความสัมพันธ์นั้นมีองค์ประกอบสำคัญ ต่าง ๆ ดังนี้

1. ทุก ๆ คนในทีมจะต้องสนใจภารกิจของทีมอย่างแท้จริง และต้องใส่ใจกับความเป็นอยู่ของสมาชิกคนอื่น ๆ ในทีม
2. แสดงความสนใจในทีมและผู้ร่วมทีมอย่างจริงจังในการสื่อสารทุกครั้ง
3. ในการสื่อสารกันในทีมนั้น ต้องสรุปให้สั้น ชัดเจนและเข้าประเด็น
4. ตรวจสอบการสื่อสารทุกครั้งด้วยการทวนย้ำหรือการทวนสิ่งที่อีกฝ่ายพูด

ขั้นตอนต่าง ๆ ในการสร้างกฏ
1. หาช่องเวลาปกติเพื่อกำหนดกฎ
2. แยกประเด็นที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ ที่รบกวนประสิทธิภาพการทำงานของทีม เรื่องนี้เป็นพื้นฐานของการสร้างกฎ และทำเช่นเดียวกับพฤติกรรมที่สนับสนุน ประสิทธิภาพการทำงานของทีม
3. หากเรามีทีมอยู่แล้ว ให้สมาชิกทุกคนมีส่วนร่วม
4. พูดคุยปรึกษาถึงกรณีต่าง ๆ ของพฤติกรรมที่ส่งเสริมการผลิตหรือไม่ส่งเสริมการผลิตและทุกคนรู้สึกถึงเรื่องนั้นอย่างไร
5. จากการพูดคุยกันนั้นเขียนกฎต่าง ๆ ที่จะสนับสนุนพฤติกรรมและประสิทธิภาพที่ดีที่สุดนั้น
6. ต้องแน่ใจว่ากฎมีความเฉพาะเจาะจงและสามารถนำไปใช้ได้โดยไม่มีข้อใดคลุมเครือและไม่ใช่แค่ประโยคบอกเล่าทั่ว ๆ ไป
7. อย่าพยายามกำหนดข้อห้ามเกี่ยวกับอารมณ์
8. กฎควรมีความท้าทายและทำให้ทุกคนต้องพัฒนา
9. อย่าสร้างกฎมากเกินไป พยายามให้น้อยกว่า 10 ข้อ
10. เมื่อมีคนทำผิดกฎต้องมีบทลงโทษ

หากเมื่อสมาชิกคนใดทำผิดกฎของทีม สิ่งที่เขาต้องเผชิญคือการถูกเรียกตรวจสอบ เรื่องนี้เป็นเหมือนดาบสองคม ความกลัวที่ทำให้การ “เรียกตรวจสอบ” ทำงานได้ผล เป็นความกลัวกับที่เราไม่กล้าเรียกตรวจสอบ คือกำลังใจของทีมอาจจะประสบปัญหาหลังจากที่ได้สร้างกฎขึ้นมาแล้ว สิ่งที่ยากที่สุดคือการเรียกตรวจสอบ “ตัวกฎเองนั้นมักไม่ใช่เรื่องที่เป็นปัญหา แต่สิ่งที่เป็นความท้าทายคือการเรียกตรวจสอบการฝ่าฝืนกฎเสียเนิ่น ๆ และสม่ำเสมอ” เหตุผลที่ทำให้การเรียกตรวจสอบมีความสำคัญมีมากมาย ข้อแรก การเรียกตรวจสอบจะกำจัดพฤติกรรมในทางลบที่จะทำให้ประสิทธิภาพของทีมลดลง และสร้างลักษณะนิสัย ศักดิ์ศรี และความภาคภูมิ โดยสร้างแนวคิดที่พร้อมจะทำในสิ่งที่ได้ตกลงกันไว้ และจะกลายเป็นสิ่งที่เชื่อมโยงทีมเอาไว้ด้วยกัน

แนวทางและเทคนิคในการเรียกตรวจสอบ

1. เลือกเวลาและกาลเทศะที่เหมาะสมสำหรับการเรียกตรวจสอบ แต่อย่ารอนานเกินไป
2. แสดงการรับรู้ความรู้สึกองก่อน และบอกให้อีกฝ่ายได้รู้
3. ขออนุญาตจากฝ่ายนั้นก่อนที่จะเรียกตรวจสอบ
4. แก้ไขที่พฤติกรรม ไม่ใช่ที่ตัวบุคคล ให้กฎทำหน้าที่ของตำรวจ
5. ระบุสิ่งที่ผิดพลาดให้ชัดเจน และเสนอความช่วยเหลือ
6. บอกประโยชน์ที่จะได้จากการแก้ไขให้ชัดเจน ทั้งสำหรับทีมและสำหรับคนที่เกี่ยวข้อง
7. ขอบคุณที่เขายอมรับฟัง และรับฟังคำตอบของเขาโดยไม่ขัดจังหวะ
8. แสดงการรับรู้พฤติกรรมที่ถูกต้องในภายหลัง เมื่อเห็นได้ว่าเขาทำการแก้ไขปรับปรุงแล้ว


การพัฒนาความสามารถของสมาชิกในทีม
1. ค้นหาจุดแข็งในตัวผู้อื่น และพัฒนามันให้เกิดประโยชน์
2. สอนผู้อื่นให้รู้จักวิธีการสู่ความสำเร็จ
3. ใช้ความผิดพลาดเพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับทีมและทำให้ทีมเติบโต
4. สร้างปฏิสัมพันธ์ทำให้สม่ำเสมอ และสร้างความเชื่อถือกันได้
5. สร้างอนาคตที่สดใสเป็นไปได้ให้กับทีม
การฝึกซ้อมความเป็นผู้นำของทีม
1. ฟังการปราศรัยของผู้นำที่ยิ่งใหญ่ ฟังคำที่เขาใช้ กลยุทธ์ และการกระตุ้นค้นหารูปแบบรูปแบบที่คุณจะใช้ได้ผล
2. ฝึกการ “สรุปเหตุการณ์” ในทุกโอกาสที่เป็นไปได้ สอนให้คนอื่นทำ ตรวจสอบระดับความรับผิดชอบที่เปลี่ยนแปลง
3. หาวิธีการรับรู้ชัยชนะอย่างง่าย ๆ โดยไม่ต้องมีอะไรหรูหรา แต่สามารถสร้างพลังได้ดี อาจจะใช้การตบมือ จับมือ หรือแบบอื่น ๆ ฝึกทำเช่นนั้นอย่างจริงใจ
4. ขอเวลานอกอย่างน้อย 2 ครั้งในสัปดาห์ และตรวจสอบความเป็นไปของทีม
………………………………………………………

อ้างอิง
สามารถศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมจากหนังสือ/เอกสาร
ชื่อหนังสือ : สร้างทีมให้ชนะ (The ABC’s of Building a Business Team That Wins)
โดย BLAIR SINGER ผู้เชี่ยวชาญด้านการสื่อสารองค์กรและการขาย
เรียบเรียง : โดย อนุพงศ์ ธรณินทร์


-----------------------

“เล่มนี้ผมอ่านเอาไว้พูดให้เด็กฟัง หนังสือพูดถึงว่าเราจะแก้นิสัยไม่ดียังไง ซึ่งปกติแล้วเราทำตัวยังไงเราก็คาดหวังว่าจะได้สิ่งนั้นกลับมา คือมีผลตอบแทน การสร้างนิสัยมีอยู่สามอย่าง queue routine และ reward
อย่างผม queue คือตื่นตี 5 ออกไปวิ่งก็เป็น routine แล้ว reward ที่ได้คือ สุขภาพดีตามมา แต่ที่เราทำนิสัยไม่ดีส่วนใหญ่ เรามองผลตอบแทนระยะสั้นไม่ได้คิดถึงผลตอบแทนระยะยาว ซึ่งการจะมีได้เราต้องมีกำลังใจ เด็กต้องฝึกอดทนรอผลตอบแทนระยะยาว ถึงจะปลูกฝังนิสัยดีๆ ได้
แต่นิสัยเสียเราเกิดจากผลตอบแทนระยะสั้นเสียส่วนใหญ่ เพราะเราไม่มีความอดทน มันมีผลทดสอบที่เรียกว่า ‘marshmallow test’ ทดสอบกับเด็กอายุประมาณ 4 ขวบ โดยวางมาร์ชเมลโลไว้ในห้องสองชิ้น ใครที่สามารถรอถึง 15 นาทีก็จะได้กินเพิ่มสองเท่า ที่น่าสนใจคืออีก 40 ปีต่อมาในอนาคต ผลสรุปออกมาว่าเด็กที่อดทนไม่กินเพื่อรอผลตอบแทนระยะยาวประสบความสำเร็จมากกว่ากลุ่มเด็กที่ไม่อดทนรอ จริงๆ แล้วเราจะประสบความสำเร็จได้มันไม่ใช่แค่ไอคิวหรืออีคิวอย่างเดียว แต่ต้องมีความอดทนต่อสิ่งเร้าด้วย”
-หนังสือแนะนำการเปลี่ยนนิสัยโดย
ดร.ชัชชาติ สิทธิพันธุ์-
ท่านเริ่มต้นอธิบายถึงคำว่า Willpower เป็น พลังในการเปลี่ยนนิสัย มีพลังใจ มีความมุ่งมั่น ที่ทำให้เปลี่ยนแปลงได้ ซึ่งในภาษาไทยยังไม่มีคำแปลจำกัดความที่เหมาะสมเท่าไรนัก แต่ก่อนจะไปถึงการเปลี่ยนนิสัย ต้องรู้ต้นเหตุของการเกิด “นิสัย” ก่อน โดยมี 3 กิจกรรม คือ
- Cue (สัญญาณ) เช่น ตื่นตี 3
- Routine (กิจวัตร) คือ การทำ เช่น ลุกไปวิ่ง
- Reward (รางวัล) คือ ทำแล้วได้อะไร เพื่อให้อยากทำอีก เช่น แข็งแรงขึ้น
ทำไมคนเราถึง “ทำ” หรือ “ไม่ทำ” บางสิ่งจนเป็นอัตโนมัติ
.
แปรงฟันทุกเช้า กินข้าวกะเพราไก่ ไปทำงานทางเดิมทุกวัน
ในแต่ละวันเราทำสิ่งต่าง ๆ จนเป็นอัตโนมัติ
เราทำไปโดยไม่ต้องคิด...เพราะมันกลายเป็นความเคยชินไปแล้ว
แต่รู้หรือไม่ว่าในความเคยชินนั้นมี “พลัง” บางอย่างซ่อนอยู่
หนังสือเล่มนี้จะพาคุณไปสำรวจนิสัยและความเคยชินในแง่มุมที่คาดไม่ถึง
นิสัยของคนเราก่อตัวขึ้นมาได้อย่างไร
ทำไมมันถึงติดหนึบและเปลี่ยนแปลงได้ยากนัก
เราจะนำมันไปใช้ประโยชน์กับชีวิตและธุรกิจอย่างไร
โดยอธิบายผ่านงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์
และตัวอย่างเรื่องราวอันน่าทึ่งจากหลากหลายวงการ
| พลังแห่งความเคยชิน : The Power of Habit
ผู้เขียน Charles Duhigg
ส่วนที่ 1 นิสัยของบุคคล
1. วงจรแห่งนิสัย : นิสัยก่อตัวขึ้นมาได้อย่างไร
2. สมองผู้โหยหา : วิธีสร้างนิสัยใหม่ ๆ
3. กฎเหล็กแห่งการเปลี่ยนแปลง : ทำไมการเปลี่ยนแปลงจึงเกิดขึ้น
ส่วนที่ 2 นิสัยขององค์กรที่ประสบความสำเร็จ
4. นิสัยหลักกับวีรกรรมของพอล โอนีลล์ : นิสัยแบบไหนสำคัญที่สุด
5. สตาร์บัคส์กับนิสัยแห่งความสำเร็จ : เมื่อพลังใจกลายเป็นนิสัย
6. พลังแห่งเหตุวิกฤติ : วิธีสร้างนิสัยผ่านเหตุบังเอิญและการออกแบบ
7. ทาร์เก็ตรู้ได้อย่างไรว่าคุณต้องการอะไร ในเมื่อคุณเองยังไม่รู้เลย : เมื่อบริษัททำนาย (และบงการ) นิสัยของผู้บริโภค
ส่วนที่ 3 นิสัยของสังคม
8. โบสถ์แซดเดิลแบ็กกับการคว่ำบาตรรถประจำทาง ในเมืองมอนต์กอเมอรี : ขบวนการเคลื่อนไหวเกิดขึ้นได้อย่างไร
9. หลักประสาทวิทยากับอิสระในการเลือก : เราต้องรับผิดชอบต่อนิสัยของตัวเองหรือไม่
- The Best Book of the Year
- The Wall Street Journal
- Financial Times
✅️จำหน่ายราคา 260 บาทส่งฟรี
✅️พร้อมส่งค่ะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น