รูปแบบของการหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ต
มีลักษณะและวิธีการป้องกันโดยสรุป ดังนี้
1. การหลอกลวงให้ประกอบธุรกิจที่บ้าน (Work-at-Home)
ลักษณะการหลอกลวง:
บริษัทที่หลอกลวงจะเชิญชวนให้ผู้ต้องการประกอบธุรกิจทางอินเทอร์เน็ตหรือธุรกิจด้าน
พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ สมัครเป็นสมาชิกเพื่อทำธุรกิจ โดยผู้บริโภคมีเพียงเครื่องคอมพิวเตอร์และ
สามารถ ใช้อินเทอร์เน็ตจากที่บ้านได้ และมักอ้าง ว่าธุรกิจประเภทนี้เป็นธุรกิจที่เติบโตอย่างรวดเร็ว
ในขณะที่ผู้บริโภคจะไม่ได้รับคำแนะนำในการทำธุรกิจ ไม่มีข้อมูลธุรกิจ ที่ชัดเจนหรือไม่ทราบว่าตน
อาจไม่ได้รับค่าตอบแทนใดๆ เลยผู้ถูกหลอกลวงจะถูกเรียกเก็บเงินค่าสมาชิกหรือซื้ออุปกรณ์ที่จำเป็น
เพื่อเริ่มทำธุรกิจ
ความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นได้:
ผู้ลงทุนจะไม่ได้รับเงินค่าตอบแทนตามที่มีการกล่าวอ้าง และอาจต้องสูญเสียเงินจากการลงทุนอีกด้วย
วิธีการป้องกัน:
ผู้ที่ต้องการลงทุนหรือต้องการเป็นเจ้าของกิจการ ควรศึกษาหรือสอบถามรายละเอียดของ
ประเภทธุรกิจที่จะลงทุนการจ่าย เงินค่าตอบแทนที่ผู้บริโภคจะได้รับ ที่มีกำหนดเวลาที่แน่นอน
รวมถึงค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่จะต้องจ่ายในการเริ่มต้นทำธุรกิจ และผู้บริโภคควรระวังไม่หลงเชื่อ
คำเชิญชวนของผู้ที่อ้างว่าเป็นธุรกิจที่สร้างรายได้จำนวนมากภายในระยะเวลาสั้นๆ
2. การประมูลสินค้าทางอินเทอร์เน็ตโดยหลอกลวง (Internet Auction Fraud)
การโฆษณาขายสินค้าทางอินเทอร์เน็ตด้วยวิธีการประมูลสินค้า ผู้ซื้อที่สนใจจะเข้าร่วมการประมูลมัก ต้องลงทะเบียนเป็นสมาชิกของเว็บไซต์นั้นๆ ซึ่งโดยทั่วไปจะไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ หลังจากนั้นจะได้รับ หมายเลขสมาชิกและรหัสผ่าน (password) ผู้ซื้อจะต้องเสนอราคาซื้อแข่งขันกับผู้ซื้อรายอื่น เมื่อเสร็จสิ้นการ ประมูลถือว่ามีการทำสัญญาซื้อขายระหว่างผู้ประมูลและผู้เสนอขาย โดยจะมีการส่งข้อความทางอีเมล์ (e-mail) แจ้งให้ผู้ซื้อและผู้ขายทราบผลการประมูล และแจ้งรายละเอียดที่จะติดต่อกันได้ เพื่อให้ทั้งฝ่ายผู้ซื้อและ ผู้ขายติดต่อกันในเรื่องการชำระเงินและการส่งมอบสินค้า
ลักษณะการหลอกลวง: การประมูลสินค้าทางอินเทอร์เน็ต เป็นวิธีการซื้อขายสินค้าที่ได้รับความนิยม และเป็นช่องทางการ ติดต่อซื้อขายสินค้าที่สะดวกรวดเร็ว ในรายงานสำรวจที่กล่าวมาแล้วของบางประเทศพบว่า เป็นวิธีการ หลอกลวงที่พบมากที่สุดเช่นกัน การหลอกลวงมีหลายรูปแบบ เช่น ผู้ขายไม่ส่งมอบสินค้าที่ผู้ซื้อประมูลได้ เพราะไม่มีสินค้าอยู่จริง, การหลอกลวงโดยการปั่นราคาซื้อขาย ผู้ขายหรือบุคคลที่เกี่ยวข้องกับผู้ขายจะ เข้าเสนอราคาเพื่อประมูลสินค้าของตน เพื่อให้สินค้ามีราคาสูงขึ้น ทำให้ผู้ซื้อต้องซื้อสินค้าในราคาที่สูงเกินจริง เป็นต้นความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นได้: ผู้ซื้อได้ชำระค่าสินค้าให้แก่ผู้ขายแล้ว แต่ยังไม่ได้รับสินค้า หรือได้รับสินค้าที่ชำรุดเสียหาย หรือเป็นสินค้า ที่มีลักษณะไม่ตรงกับที่มีการเสนอขายแต่แรก ด้านผู้ให้บริการประมูลทางอินเทอร์เน็ตเองก็อาจได้รับความ เสียหาย เพราะผู้ใช้บริการ (ผู้ซื้อและผู้ขาย) ไม่ให้ความไว้วางใจและไม่ใช้บริการวิธีการป้องกัน: ผู้ซื้อควรตรวจสอบว่าเว็บไซต์ที่ทำหน้าที่เป็นผู้ให้บริการด้านการประมูลทางอินเทอร์เน็ต (คนกลาง) มีวิธีการระบุตัวบุคคลที่เป็นผู้ขาย (หรือผู้ซื้อ) ดีพอหรือไม่ กล่าวคือมีการเก็บประวัติ รายละเอียดของผู้ขาย ที่สามารถติดต่อได้ หรือพิจารณาว่าผู้ให้บริการด้านการประมูลทางอินเทอร์เน็ต (คนกลาง) มีนโยบายการ ประกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นหรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับสินค้าที่มีมูลค่าค่อนข้างสูง
3. การให้บริการอินเทอร์เน็ตโดยหลอกลวง (Internet Service Provider Scams)
ผู้หลอกลวงจะส่งเช็คจำนวนหนึ่ง (เช่นราว 3.5 ดอลลาร์สหรัฐฯ) ให้แก่ผู้ใช้บริการ เมื่อมีการเบิกเงินตาม เช็คแล้วก็ถือว่าผู้บริโภคตกลงที่จะใช้บริการของผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (Internet Service Provider - ISP) ที่ได้รับแจ้ง ในการนี้อาจจะไม่มีการแจ้งค่าธรรมเนียมหรือค่าใช้จ่ายใดๆ และมักเป็นการทำสัญญาให้ บริการอินเทอร์เน็ตที่มีระยะเวลานาน ผู้หลอกลวงจงใจให้ผู้บริโภคหรือผู้ใช้บริการเกิดความสับสน และเข้าใจผิดในสาระสำคัญเกี่ยวกับการบริการนั้น กล่าวคือเมื่อผู้บริโภคเข้าทำสัญญา ดังกล่าวแล้วจะถือว่า ยินยอมตามเงื่อนไขทุกประการที่ระบุไว้ การหลอกลวงดังกล่าวนี้มักพบในประเทศที่มีผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต หลายราย และมีบริการที่หลากหลาย
ลักษณะการหลอกลวง:
ผู้บริโภคถูกเรียกเก็บเงินค่าบริการต่างๆ จากผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต นอกจากนี้ ยังอาจจะมีคำขู่ ที่กล่าวว่าถ้าหากผู้ใช้บริการ ต้องการเลิกสัญญาก่อนครบกำหนดสัญญา จะถูกปรับเป็นจำนวนเงินที่สูง
ความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นได้: ผู้บริโภคถูกเรียกเก็บเงินค่าบริการต่างๆ จากผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต นอกจากนี้ ยังอาจจะมีคำขู่ที่กล่าวว่า ถ้าหากผู้ใช้บริการต้องการเลิกสัญญาก่อนครบกำหนดสัญญา จะถูกปรับเป็นจำนวนเงินที่สูง
วิธีการป้องกัน:
เมื่อผู้บริโภคได้รับเช็คโดยไม่ทราบสาเหตุที่ชัดเจนแล้ว ไม่ควรทำข้อตกลงใดๆ กับบุคคลอื่น แต่ควรศึกษา รายละเอียดของเอกสารหรือข้อตกลงที่ส่งมาโดยถี่ถ้วน ตรวจสอบค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่จะถูกเรียกเก็บให้ครบถ้วน และควรติดต่อผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตโดยตรง
4. การใช้บัตรเครดิตโดยไม่ได้รับอนุญาต (Credit Card Fraud)
การชำระค่าสินค้า ค่าบริการทางอินเทอร์เน็ตที่ได้รับความนิยมที่สุดวิธีหนึ่งคือ การชำระเงินด้วยบัตร เครดิต เนื่องจากมีความสะดวกแก่ทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย ผู้ซื้อสามารถชำระเงินโดยการให้ข้อมูลบัตรเครดิตคือ หมายเลขบัตรเครดิต ชื่อ-สกุลของ ผู้ถือบัตร และวันหมดอายุแก่ร้านค้า ร้านค้าสามารถตรวจสอบได้เพียงว่า บัตรดังกล่าวเป็นบัตรที่ออกโดยผู้ออกบัตรจริง แต่ไม่สามารถตรวจสอบตัวบุคคลผู้ใช้บัตรได้ว่าเป็นบุคคลใดลักษณะการหลอกลวง: วิธีการหลอกลวงเกี่ยวกับการชำระเงินด้วยบัตรเครดิตทางอินเทอร์เน็ตมีหลายวิธี ตัวอย่างเช่น การให้บริการดูภาพลามกอนาจารโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ สำหรับผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป (ตามกฎหมาย สหรัฐอเมริกา) แต่ผู้บริโภคต้องแจ้งข้อมูลบัตรเครดิตให้ผู้ให้บริการทราบ เพื่อตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล แล้วผู้หลอกลวงจะใช้ข้อมูลนี้ไปกระทำผิดในที่อื่น
ความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นได้:
ผู้ถือบัตรที่เป็นผู้บริโภคถูกเรียกเก็บเงินค่าสินค้าหรือบริการจากบริษัทหรือธนาคารผู้ออกบัตร ทั้งที่ผู้ ถือบัตรไม่ได้ใช้บัตรเครดิตชำระรายการนั้นๆ เลย ซึ่งกฎหมายบางประเทศจะให้ความคุ้มครองผู้ถือบัตร ในกรณีนี้ หรือผู้ถือบัตรรับผิดไม่เกินจำนวนเงินที่กำหนดไว้ในข้อตกลงระหว่างผู้ออกบัตรและผู้ถือบัตร
วิธีการป้องกัน: ผู้ถือบัตรเครดิตไม่ควรแจ้งข้อมูลบัตรเครดิตให้บุคคลอื่นทราบ แต่หากต้องมีการชำระเงินด้วยบัตร เครดิต ทางอินเทอร์เน็ต ก็ควรเลือกร้านค้าที่มีความน่าเชื่อถือ หรือมีหลักแหล่งที่แน่นอนสามารถติดต่อได้ หรือผู้บริโภคอาจเลือกใช้บัตรที่มีวิธีการตรวจสอบตัวบุคคลผู้ใช้บัตรว่าเป็นผู้ถือบัตร เช่น การใช้รหัสประจำ ตัว (PIN) หรือรหัสใดๆ ที่ไม่ปรากฎอยู่บนบัตร แต่ถือ เป็นข้อมูลส่วนตัวของผู้ถือบัตรที่ไม่เปิดเผย ให้บุคคลอื่นทราบ นอกจากนี้ ผู้ถือบัตรควรตรวจดูข้อตกลงที่ทำไว้กับผู้ออกบัตรด้วยว่ามีเงื่อนไข ความรับผิดชอบอย่างไร
5. การเข้าควบคุมการใช้โมเดมของบุคคลอื่น (International Modem Dialing/ Modem Hijacking)
ลักษณะการหลอกลวง: การโฆษณาการให้บริการสื่อลามกอนาจารโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ผู้ใช้บริการจะต้องติดตั้งโปรแกรม คอมพิวเตอร์เพื่อดูภาพดังกล่าวหรือเรียกว่า ‘viewer’ หรือ ‘dialer’ ของผู้ให้บริการ เมื่อผู้ใช้บริการเปิดดูภาพ ด้วยโปรแกรมข้างต้นแล้ว การทำงานของโปรแกรมดังกล่าวจะเริ่มเมื่อมีการใช้เครื่องโมเดม (modem) ในขณะเดียวกันโปรแกรมฯ จะควบคุมการทำงานของโมเดม และสั่งให้หยุดการทำงานโดยที่ผู้ใช้บริการไม่รู้ ตัว แล้วจะสั่งให้มีการต่อเชื่อมผ่านโมเดมอีกครั้งหนึ่ง โดยเป็นการใช้โทรศัพท์ ทางไกลจากที่ใดที่หนึ่ง แล้วมีการใช้อินเทอร์เน็ตอีกครั้งจากที่นั้น เพื่อให้ผู้ใช้บริการสามารถดูเว็บไซต์
ความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นได้: ผู้ใช้บริการจะถูกเรียกเก็บเงินค่าโทรศัพท์ทางไกลจำนวนมาก ทั้งที่ผู้ใช้บริการอาจไม่รับรู้ ซึ่งเป็นเพราะ มีบุคคลอื่นลักลอบใช้โทรศัพท์โดยอาศัยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ดังกล่าววิธีการป้องกัน: ผู้ใช้บริการหรือผู้บริโภคควรหลีกเลี่ยงไม่ติดตั้งโปรแกรมคอมพิวเตอร์ สำหรับการให้บริการใดๆ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการดูเว็บไซต์ที่มีข้อมูลภาพลามกอนาจาร และควรตรวจสอบเงื่อนไข และค่าใช้จ่ายต่างๆ ถ้าพบสิ่งผิดปกติ ต้องแจ้งระงับการใช้งานกับผู้ให้บริการทันที นอกจากนั้น ผู้ใช้บริการควรตรวจสอบใบแจ้งหนี้ค่าบริการโทรศัพท์อย่างสม่ำเสมอ
6. การหลอกลวงให้ใช้บริการเกี่ยวกับเว็บไซต์ (Web Cramming)
ลักษณะการหลอกลวง:
การหลอกลวงว่ามีการให้บริการเปิดเว็บเพจ (web page) โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ เช่นการเปิดเว็บเพจ เป็นเวลา 30 วัน และไม่มีข้อผูกพันใดๆ ถ้าไม่ใช้บริการต่อไป
ความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นได้: เมื่อมีการตกลงใช้บริการดังกล่าวแล้ว ผู้ใช้บริการจะถูกเรียกเก็บเงินค่าใช้บริการโทรศัพท์ หรือค่าใช้ บริการในการมี เว็บเพจ (ค่าธรรมเนียมการใช้พื้นที่) เป็นจำนวนมาก ทั้งๆ ที่ตนไม่เคยใช้บริการ หรือไม่ได้สมัคร แต่อย่างใด ผู้ใช้บริการยังไม่ สามารถแจ้งให้ผู้ให้บริการยกเลิกได้ทันทีอีกด้วยวิธีการป้องกัน:
ผู้บริโภคควรตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับผู้ให้บริการ และเลือกใช้บริการที่มีความน่าเชื่อถือเท่านั้น (กรณีนี้มักพบใน ประเทศที่มีผู้ให้บริการโทรศัพท์จำนวนมากเช่นในประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นต้น)
7. การหลอกลวงโดยใช้การตลาดหรือการขายแบบตรง (Multilevel Marketing Plans/ Pyramids)
ลักษณะการหลอกลวง: การหลอกลวงในลักษณะนี้คล้ายคลึงกับการนำสื่อโฆษณาในการทำตลาดหรือการขายตรง โดยมีการ
ชักชวนให้บุคคลทั่วไปเข้าร่วมเป็นสมาชิกในเครือข่ายธุรกิจ โดยการกล่าวอ้างว่าผู้ขายจะได้รับสิทธิในการจำหน่ายสินค้าหลายชนิด และได้รับผลประโยชน์จากการขายสินค้าหรือชักชวนบุคคลอื่นเข้ามาเป็นตัวแทนขายตรงเป็นทอดๆ ทำให้ผู้ที่ได้รับประโยชน์จริงมีจำนวนน้อยราย
ความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นได้: ผู้บริโภคที่เข้าร่วมเครือข่ายจะต้องชำระค่าสมาชิกจำนวนหนึ่ง แต่จะไม่มีรายได้ประจำแต่อย่างใด
รายได้ของผู้บริโภคจึงไม่แน่นอนและมักจะไม่ได้รับผลประโยชน์ตามที่ผู้หลอกลวงกล่าวอ้าง เพราะไม่
สามารถขายสินค้าได้ตามเป้าหมาย
วิธีการป้องกัน: ผู้บริโภคควรระมัดระวังในการสมัครเป็นสมาชิกหรือตัวแทนจำหน่ายสินค้า ที่ต้องหาสมาชิกรายอื่น
เพิ่มขึ้นหรือต้อง จำหน่ายสินค้าที่มีราคาค่อนข้างสูงให้ได้ตามยอดจำหน่ายที่กำหนด เพราะอาจถูก
หลอกลวงได้
8. การหลอกลวงโดยเสนอให้เงินจากประเทศไนจีเรีย (Nigerian Money Offers)
ลักษณะการหลอกลวง: ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตจะได้รับข้อความจากจดหมายหรืออีเมล์ (e-mail) จากบุคคลที่กล่าวอ้างว่ามีความ
สำคัญในประเทศไนจีเรีย เพื่อขอช่วยเหลือในการโอนเงินจำนวนมากไปยังต่างประเทศ โดยผู้บริโภคจะได้รับเงินส่วนแบ่ง จำนวนนับล้านเหรียญ ดอลลาร์สหรัฐฯ
ข้อความในจดหมายหรืออีเมล์มีเนื้อหาทำนองว่า ประชาชนในประเทศไนจีเรียไม่สามารถเปิด
บัญชีเงินฝากในต่างประเทศ หรือโอนเงินออกนอกประเทศที่มีมูลค่าราว 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ได้
หรือรัฐบาลไนจีเรียต้องการทำธุรกิจกับชาวต่างชาติ จึงต้องการความช่วยเหลือจากชาวต่างชาติในการ
เปิดบัญชีเงินฝากประเภทกระแสรายวันที่เบิกด้วยเช็ค ซึ่งท่านจะได้รับค่า ตอบแทนหรือค่านายหน้า
ผู้บริโภคเพียงแต่แจ้งรายละเอียดของบัญชีเงินฝากของตน และกรอกเอกสารพร้อมทั้งลงลายมือชื่อ
ของเจ้าของบัญชีเท่านั้น
ความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นได้: เมื่อมีการแจ้งข้อมูลบัญชีเงินฝากแล้ว ผู้บริโภคจะถูกเรียกเก็บค่าธรรมเนียมหรือค่าใช้จ่ายในการ
ดำเนินการตลอดเวลา โดยให้ผู้บริโภคโอนเงินเข้าบัญชีที่แจ้งไว้ ผู้ที่หลอกลวงจึงสามารถเบิกเงินจาก
บัญชีดังกล่าวได้ โดยอ้างเอกสารมอบอำนาจของเจ้า ของบัญชี แต่การโอนเงินลักษณะนี้อาจทำไม่ได้
ในประเทศไทย เว้นแต่จะเป็นการโอนเงินระหว่างบัญชีของธนาคารเดียวกัน ทางอินเทอร์เน็ต
วิธีการป้องกัน:
ผู้บริโภคไม่ควรหลงเชื่อบุคคลอื่นที่อ้างตัวและเสนอจะให้ผลประโยชน์จำนวนมหาศาลโดยไม่มี
ความเสี่ยงเช่นนี้ และ ไม่ควรเปิดเผยข้อมูลบัญชีธนาคารของตนแก่ผู้อื่นด้วย
9. การหลอกลวงให้จดทะเบียนโดเมนเนม (domain name registration scams)
ลักษณะการหลอกลวง: ผู้ที่ต้องการทำธุรกิจทางอินเทอร์เน็ตที่ต้องการมีเว็บไซต์และโดเมนเนมของตนเอง จะได้รับ
การเสนอแนะว่าท่านสามารถได้รับสิทธิในการจดทะเบียนโดเมนเนมในระดับบนที่เรียกว่า
“Generic Top-Level Domain’ หรือ gTLD ได้แก่ .com, .org, .net, .int, .edu, .gov,
.mil, .aero, .biz, .coop, .info, .museum, .name, and .pro เป็นต้น ก่อนบุคคลอื่น
และถูกเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการจองโดเมนเนมที่ต้องการ ซึ่งในความเป็นจริงไม่มีการให้บริการ
ในลักษณะดังกล่าว
ความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นได้:
ผู้ที่หลงเชื่ออาจได้รับความเสียหายเพราะได้ชำระเงินให้แก่ผู้ที่หลอกลวง โดยไม่ได้รับสิทธิหรือ ประโยชน์ตามที่กล่าวอ้าง
วิธีการป้องกัน: หลีกเลี่ยงการใช้บริการการขอจดทะเบียนโดเมนเนมล่วงหน้า ที่ให้การรับรองว่าจะได้รับสิทธิ ในการเลือกโดเมนเนมประเภทนี้ (gTLD) ก่อนบุคคลอื่น และไม่ควรหลงเชื่อคำโฆษณา ควรติดตามข่าวสารเกี่ยวกับการยื่นขอจดทะเบียนจากผู้รับจดทะเบียนที่ได้รับสิทธิภายใน ประเทศหรือเว็บไซต์ของ ICANN (Internet Corporation for Assigned Names and Numbers) (www.icann.org) ควรใช้บริการจดทะเบียนโดเมนเนมกับหน่วยงานที่น่าเชื่อถือ เช่น ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต, บริษัทที่ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ หรือใช้บริการของ “ศูนย์สารสนเทศเครือข่ายแห่งประเทศไทย” (Thailand Network Information Center – THNIC) (www.thnic.net)
10. การหลอกลวงโฆษณาหรือขายยามหัศจรรย์ (miracle products)
ลักษณะการหลอกลวง: การโฆษณาหรือขายยาทางอินเทอร์เน็ตที่อ้างสรรพคุณว่าสามารถรักษาโรคหรืออาการ
เจ็บป่วยด้วยโรคร้ายแรง เช่น โรคมะเร็ง, โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง (HIV/AIDS), โรคความดัน
โลหิตสูง ฯลฯ หรือสามารถบรรเทาความเจ็บป่วยได้ภายในระยะเวลาอันสั้น และมักอ้างว่ายาเหล่านี้
ได้รับการรับรองหรือการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์แล้ว
ความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นได้: ผู้ป่วยที่ซื้อยาดังกล่าวโดยเชื่อว่าสามารถรักษาความเจ็บป่วยได้ อาจต้องสูญเสียเงินหรือ
โอกาสในการได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง นอกจากนั้น ยังอาจได้รับอันตรายจากการใช้ยาเหล่านั้นด้วย
วิธีการป้องกัน: การใช้ยารักษาโรคควรได้รับคำแนะนำจากแพทย์หรือเภสัชกรเท่านั้น
แหล่งข้อมูล
National Fraud Information Center, Internet Fraud Statistics (2001-2000),http://www.fraud.org/internet/2001stats10mnt.htm
National Fraud Information Center, Six-Month Data Trends Report May-November 2000http://www1.ifccfbi.gov/strategy/6monthreport.pdf
Federal Trade Commission, Operation Top Ten Dot Cons (October 2000),http://www.ftc.gov
Ministry of Consumer Affairs, Scam Watch!,http://www.ecommerce.or.th/project/fraud/index.html