ข่าว ธุรกิจออนไลน์ 100%

วันอังคารที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565

Work from home อนาคตของการทำงาน

 


ถ้าพูดถึงเรื่องของการทำงานแบบ Work from home เราเชื่อว่าตลอดช่วงระยะเวลาที่ผ่านมาหลายบริษัท น่าจะได้ลองทำกันมาบ้างแล้ว และก็น่าจะมีหลายบริษัทที่ประกาศให้เรื่องของการทำงานแบบ Work from home ได้กลายเป็นนโยบายหลักในการทำงานไปแล้ว แต่ก็น่าจะมีอีกหลายบริษัทเช่นกัน ที่หัวหน้า หรือผู้บริหาร ยังคาใจไม่มั่นใจว่าการทำงานแบบ Remote มันจะดีจริง ๆ เหรอ แล้วมันจะเป็นอนาคตของการทำงานต่อจากนี้จริง ๆ ใช่ไหม

วันนี้เลยอยากจะมาพูดถึงเรื่องของการทำงานแบบ Work from home กันว่า มันมีข้อดี หรือข้อเสียอะไรบ้าง


ประโยชน์ 4 ข้อที่เกิดขึ้นจากการ Work from home

1. Productivity มากขึ้น:

Work from home สามารถเพิ่ม Productivity ให้กับคนทำงานได้จริง ๆ ไหม จนถึง ณ ตอนนี้ เราก็ยังเชื่อว่าต้องมีผู้บริหาร หรือหัวหน้าอีกหลายคน ที่ยังไม่มั่นใจว่าจะให้พนักงาน ทีมงาน ลองเริ่มทำงานแบบ work from home ดูบ้างดีไหม อาจจะเพราะกลัวพนักงานจะอู้บ้าง กลัวไม่ทำงานบ้าง กลัวงานไม่เสร็จบ้าง กังวลว่าเขาจะเอาเวลาไปทำอย่างอื่นที่ไม่ใช่งานบ้าง หรือพูดรวม ๆ ก็คือ กลัวว่า Productivity ของพนักงานนั้นจะลดลง

เรื่องนี้บอกได้เลยว่าไม่เป็นความจริง และแทบจะออกมาในทางตรงกันข้ามด้วยซ้ำ


ในปี 2019 Airtasker มีการทำสำรวจคนที่ทำงานเต็มเวลา 1,004 คน ในสหรัฐฯ เกี่ยวกับ Productivity ของพวกเขา โดยใน 1,004 คนนั้น มี 505 คนที่ทำงานแบบ Remote โดยทีมที่ทำการศึกษาพบว่าคนที่ทำงานแบบ Remote นั้นทำงานมากกว่า คนที่ทำงานอยู่ออฟฟิศเป็นหลัก อยู่ที่ 1.4 วัน ต่อเดือน หรือ 16.8 วันต่อปี

ซึ่งเรื่องนี้สอดคล้องกับงานวิจัยในปี 2015 จากมหาวิทยาลัย Stanford ที่ทำการศึกษาประสิทธิภาพการทำงานของพนักงาน Call Center 16,000 คน ในบริษัทตัวแทนท่องเที่ยวจีน พบว่ากลุ่มพนักงานที่ทำงานแบบ Work from home สามารถเพิ่ม Productivity ในการทำงานได้มากถึง 14%

และเช่นกันในการศึกษาของ MindMetre พบว่า 56% ของผู้ตอบแบบสอบถาม รู้สึกว่าการการทำงานแบบ Remote ช่วยให้พวกเขามีสมาธิจดจ่อกับงานมากขึ้น ในขณะที่ 53% บอกมันสามารถช่วยเพิ่ม Productivity ให้กับพวกเขาได้

2. มีความพึงพอใจในงานมากขึ้น:

จากรายงานการสำรวจของ Morar Consulting’s ในปี 2017 เผยว่า 38% ของแรงงานในสหรัฐฯ ที่มีการ Work from home อย่างน้อยสัปดาห์ละหนึ่งวัน จะมีความพึงพอใจในการทำงานในระดับที่สูงกว่า คนทำงานที่ไม่ได้รับสิทธิ์นี้

3. ทำให้อัตราการ turnover ลดลง:

ข้อมูลจากงานวิจัยของ UK Government’s Department for Business Innovation & Skills รายงานว่า ความยืดหยุ่น ในการทำงานมีผลทำให้อัตราการลาออกของพนักงานนั้นลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

และจากงานการศึกษาของมหาวิทยาลัย Stanford ที่ทำร่วมกับ Ctrip นั้นก็ยังแสดงให้เห็นว่าการทำงานที่ยืดหยุ่น หรือการทำงานแบบ Remote สามารถช่วยลดความอยากลาออกของพนักงานได้ถึง 50% เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ทำงานในออฟฟิศเป็นหลัก

4. สามารถลดต้นทุนของ Office หรือสำนักงานลงได้:

การที่พนักงานสามารถทำงานแบบ Remote ได้จะทำให้ออฟฟิศขนาดใหญ่มีความจำเป็นลดลง สำหรับคนที่ทำธุรกิจจะรู้และเข้าใจดีว่า ค่าเช่าออฟฟิศหรือสำนักงานนั้นถือได้ว่าเป็นหนึ่งในต้นทุนที่ค่อนข้างสูงทีเดียว

ทำให้ตอนนี้มีบริษัทใหญ่ ๆ หลายแห่งเริ่มปรับเปลี่ยนออฟฟิศ หรือสำนักงานให้มีความเป็น hot desk มากขึ้น (โต๊ะทำงานแบบหมุนเวียน) แต่แน่นอนว่ายังคงมีห้องประชุมต่าง ๆ ไว้ให้ใช้

คือ มีการเปลี่ยนพื้นที่ทำงานให้มีความเป็น Co-Working Space มากขึ้น พร้อม ๆ กับลดใช้พื้นที่อาคารสำนักงานลง

พอพูดถึงข้อดี หรือประโยชน์ที่ได้รับกันแล้ว เราก็ต้องมาดูฝั่งของข้อเสียกันบ้าง


วันอาทิตย์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565

Dropship ดรอปชิป คืออะไร

       

Dropship กับตัวแทน อาจจะดูไม่ได้ต่างกัน เพราะมันก็คือ ตัวแทนเค้า ถูกต้องมั้ยคะ แต่สิ่งที่มันดีกว่าก็คือ ถ้าเราทำเป็น มันลดความเสี่ยงกว่าการเป็นตัวแทนเฉยๆ เยอะเลยนะ เพราะหลักๆ เลยคือ เราจะได้เวลากลับมา เพราะไม่ต้องแพ็คของส่งของ (ที่เรียกว่าชิปปิ้ง) ลองคิดดูสิว่า ถ้าเราต้องมานั่งแพ็คของวันละ 1000 ชิ้น ทั้งชีวิตก็เอาไปทิ้งที่ไปรษณีย์แล้ว ข้อดีอีกอย่างก็คือ เราไม่ต้องทำสต็อค คิดดูว่า ถ้าเราต้องมาลงทุนซื้อมาสต็อคของเป็นหมื่นเป็นแสน แล้วขายไม่ออกเลย ทำไงดี? นั่นแหละค่ะ ถึงทำให้ Dropship น่าสนใจ


แต่ใช่ว่าโมเดลดี แล้ว คนทำจะได้ดี มีผลลัพท์รายได้สูง ๆ กันหมดทุกคน ทุกบริษัทนะคะ เพราะโมเดลนี้ ต้องอาศัยความร่วมมือของสองฝ่าย คื
1. ฝ่ายตัวแทน ต้องสร้างภาพลักษณ์ นำเสนอสินค้าได้ดี

2. ฝ่ายเจ้าของ ก็ต้องซัพพอร์ตตัวแทนเป็นอย่างดี ส่งของเร็ว มีของตลอด ของมีคุณภาพ แข่งกับชาวบ้านได้ ตอบคำถามตลอด ไม่หนี ไม่เบี้ยว ซึ่งหายากมากกกกกก


เราทำอยู่จ้า คือถ้าใครสนใจเรื่อง Dropship เราตอบคำถามให้ได้ จริงๆ แล้ว งานนี้มันเหมือนกับขุมทรัพย์ ส่วนใหญ่เค้าไม่มาบอกกันหรอกค่ะ เพราะก็จะกลายเป็นคู่แข่งกันหมด แต่คนทำได้ ก็รวยนะ รวยกว่าตัวแทนทั่วไปตามเฟสบุ๊คเลยล่ะ แถมอิสระกว่าด้วย ใครสนใจด้านนี้จริงๆ ก็หลังไมค์มาคุยกันละกันนะคะ ติดต่อเราได้ที่นี่ https://mysocialnetwork2020.blogspot.com/2020/03/contact-us.html

วันพฤหัสบดีที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565

สำหรับคนที่ Anti ระบบขายตรง และแชร์ลูกโซ่ คิดว่าดรอปริชหลอกลวง



สำหรับคนที่เคยทำ ระบบขายตรง และDropshipมาหลายตัว อย่างเรา เรารักDroprich เลยล่ะค่ะ

มาเจอ เพราะหาสินค้ามาแก้ปัญหาท้องผูกเลยได้รู้จักระบบ Dropship ที่วิเศษมากกว่าทุกDropship ที่เคยทำมาก่อน 

หลังจากศึกษา เรามองว่า เป็นระบบที่สร้างโอกาสให้คนไม่มีโอกาส หรือเห็นโอกาส ได้สร้างรายได้ จริง ๆ พิสูจน์ได้ทันทีที่ลงมือทำ สร้างความมั่นคงให้ชีวิตตัวเองได้ โดยไม่ต้องไปเบียดเบียนคนอื่นเลย ไม่ใช่การขายฝัน ไม่ได้หลอกขายของ ไม่ใช่แชร์ลูกโซ่ ทำจริงจัง ก็ รวยจริงจัง อยู่ที่การเรียนรู้และการฝึกฝน เราได้พัฒนาตัวเอง ได้ให้โอกาสคนอื่น มีแต่ได้กับได้

เรื่องเดียวที่เราต้องลงทุน คือ เวลาค่ะ เราลองทำ droprich  1 อาทิตย์ ลงทุนซื้อสินค้า(ไฟเบอร์) กล่องเดียว 1200 บาทจากนั้นเรียนรู้และแบ่งปัน แชร์ลิ้งค์ให้เพื่อน 2-3 คน ได้รับรายได้ 4920 บาท

เราแค่แนะนำ บอกต่อโอกาส ให้คนที่เค้าลำบากได้มีวิธีหารายได้ยิ่งเราให้เราก็ยิ่งได้ค่ะ  ง่ายกว่านี้ไม่มีแล้ว droprich ให้เราลงทุนแค่เวลาเพื่อชีวิตที่ดีกว่า ไม่น่าจะเรียกว่า หลอกลวงนะคะ

สิ่งสำคัญคือ เราต้องไม่ ดูถูกตัวเอง และดูถูกคนอื่นค่ะ สงสัยถามได้นะคะ ยินดีแนะนำค่ะ

ถ้าโชคดี ได้เจอแล้ว ก็ให้โอกาสตัวเองเถอะค่ะ

    

ติดต่อเราได้ที่นี่ https://mysocialnetwork2020.blogspot.com/2020/03/contact-us.html