ข่าว ธุรกิจออนไลน์ 100%

วันเสาร์ที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2565

10 สิ่งที่เราควรลงทุนให้มากกว่าเงิน

 10 สิ่งที่เราควรลงทุนให้มากกว่าเงิน 

ของ Warren Buffett




วอร์เรน บัฟเฟตต์ ผู้ที่ครั้งนึงเคยเป็นชายที่รวยที่สุดในโลก เป็นปรมจารย์ด้านการลงทุน ซึ่งวันนี้บริษัทโฮลดิ้งของบัพเฟตต์ Berkshire Hathaway (เบิร์กไชร์ ฮาธาเวย์) มีมูลค่าสูงเป็นอันดับ 6 ของโลก ทั้งที่บริษัทอื่นๆในอันดับ 1 - 8 เป็นบริษัทที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีทั้งหมด แต่มีบริษัทของบัฟเฟตต์บริษัทเดียวที่เป็นบริษัทที่ทำด้านการลงทุน

ยิ่งไปกว่านั้น เขายังเป็นเศรษฐีใจบุญ เป็นผู้บริจาคเงินมากที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลกอีกด้วย

  วันนี้ เรา มาดูกันว่า หากอยากประสบความสำเร็จอย่างเขา นอกเหนือจากเงินแล้ว มีอะไรบ้างที่ เราควรให้ความสำคัญในการลงทุน จากมุมมองของ วอร์เร็น บัฟเฟตต์ ใน 

 10 สิ่งที่เราควรลงทุนให้มากกว่าเงิน

1.ลงทุนในตัวเอง (สินทรัพย์ที่มีค่าที่สุด)

 ห​าสิ่งที่คุณรักให้เจอ

จริงๆแล้วบัฟเฟตต์ ชอบเกมการลงทุน ไม่ได้ชอบเงิน หากคุณไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร มีวิธีคิดง่ายๆคือ มีงานอะไรที่ต่อให้รวยล้นฟ้า คุณก็จะทำงานงานนี้ นั่นแหละสิ่งที่คุณรัก

2.ลงทุนในความรู้ 

บัฟเฟต์ อ่านหนังสือวันละ 5-6 ชม อ่านหนังสือพิมพ์วันละ 5 ฉบับ การอ่านหนังสือเป็นสิ่งที่มีประโยชน์มากที่สุด คือหัวใจสำคัญที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จในวันนี้ แต่แค่การอ่านหนังสือนั้นไม่พอ สิ่งที่ยากกว่าการเรียนรู้จากหนังสือก็คือ การเรียนรู้จากคน เรียนรู้จากหนังสือแล้วคุณต้องเอาไปใช้กับคน


3. ลงทุนในการสื่อสาร

 สิ่งที่บัฟเฟตต์ยอมรับว่าเป็นจุดอ่อนของเขาก็คือเขาไม่กล้าที่จะพูดต่อหน้าผู้คน ซึ่งเป็นทักษะที่สำคัญมาก เขาถึงขนาดไปลงเรียนคอร์สการพูดกับ เดล คาเนกี้ สุดยอดนักพูดโน้มน้าวคน เขาบอกเลยว่าคอร์สๆนั้นเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุดในชีวิต 

บัฟเฟต์ บอกว่าถ้าคุณไม่สามารถถ่ายทอดไอเดียที่มันบรรเจิดของคุณให้คนอื่นได้ นั่นเท่ากับว่าคุณขาดศักยภาพที่สำคัญที่สุดของคุณไป ไอเดียของคุณจะไม่มีประโยชน์อะไรเลย ถ้าคุณไม่สามารถสื่อสารออกไปได้


 4. ลงทุนในสิ่งที่คุณถนัด (เพียงสิ่งเดียว)

 มีวันนึงที่วอร์เรน บัฟเฟต์ ไปทานข้าวที่บ้านของบิลเกต แล้วคุณพ่อของบิลเกต ก็ถาม เศรษฐีที่รวยที่สุดในโลกทั้งสองคนว่าถ้าให้เขียนสิ่งที่สำคัญที่สุดที่ทำให้ทั้งสองคนประสบความสำเร็จในวันนี้เพียงสิ่งเดียวลงกระดาษสิ่งนั้นคืออะไร เรื่องที่ไม่น่าเชื่อก็คือทั้งสองคนเขียนคำคำเดียวกันนั่นก็คือคำว่า “Focus” (เพ่งความสนใจ) 

บัฟเฟต์เคยบอกว่า เรื่องอื่น เขาไม่สน เพราะเขามั่นใจอยู่เรื่องนี้เรื่องเดียว นั่นคือการลงทุน 

“ผมไม่ใช่อัจฉริยะ แต่ผมฉลาดเพียงเรื่องเดียว และผมก็ติดอยู่กับมัน”

สิ่งนี้สำคัญยิ่งกว่าปริญญาเสียอีก และทำให้เขามั่นคง

 เขาเรียกความถนัดเพียงสิ่งเดียวว่า “Circle of Competence” หรืออาจแปลเป็นไทยได้ว่า “วงกลมแห่งความถนัด” เขาอธิบายไว้ว่า มันเหมือนกับเวลาที่คุณจะตีลูกเบสบอล มันจะมีเพียงแค่จังหวะเดียว หรือวงกลมวงเดียวตรงกลางลูก ที่ถ้าคุณตีได้ตรงบริเวณนั้นแล้วมันจะไปไกลที่สุด จริงๆมันมีวงกลมอยู่มากมายทึ่เป็นวงกลมที่คุณไม่รู้จัก หรือรู้บ้างนิดหน่อย แต่จะมีวงกลมเพียงวงเดียวตรงกลางที่คุณถนัดที่สุด แล้วคุณต้องโฟกัสมัน และลงทุนกับมัน 

สิ่งนี้ทำให้วอร์เร็น บัฟเฟต์แทบไม่เคยขาดทุนในการลงทุนมาตลอด 50-60 ปี เพราะเขาจะลงทุนในบริษัทที่เขารู้จักดีเท่านั้น

เช่น บัฟเฟตต์ เป็นคนที่ชอบกินโค้กมาก และเขาก็ลงทุนในโค้ก เพราะเขามั่นใจว่าเขารู้จักและเข้าใจโค้กดีมากๆ และมองว่ามันมีโอกาสจะเติบโต หรือแม้แต่ธุรกิจอื่นๆที่เขาลงทุน จะเป็นสิ่งที่เขารู้จักดีเท่านั้น

ดังนั้น ขอให้คุณลงทุนในสิ่งที่คุณถนัดเพียงสิ่งเดียว โฟกัสมันสิ่งเดียว นั่นจะทำให้คุณประสบความสำเร็จได้

 5.ลงทุนในการได้เปรียบทางการแข่งขัน

เมื่อคุณประกอบกิจการหรือทำอะไรได้ประสบความสำเร็จ มันจะมีคนพยายามมาทำเหมือนคุณ แข่งกับคุณ ชิงความได้เปรียบของคุณ 

เช่น คุณเปิดร้านอาหารแล้วประสบความสำเร็จ ขายดีมาก สักพักก็จะต้องมีคนมาขโมยเมนูคุณ ดึงตัวเชปของคุณ ทำที่จอดรถดีกว่าคุณ ทำราคาถูกกว่าคุณ เป็นต้น 

ในระบบทุนนิยมนั้น มันคือการที่จะมีคนมาคอยชิงปราสาทคุณเสมอ ดังนั้นคุณต้องมีปราสาทที่แข็งแกร่งที่สุด หรือนั่นก็คือความได้เปรียบทางการแข่งขัน คุณต้องมีแต้มต่ออะไรบางอย่างที่ทำให้คุณเหนือคนอื่นได้ตลอด 

บัฟเฟตต์ยกตัวอย่างว่า หากคนจะลงทุนทำหนังกับผู้กำกับสักคนให้ได้เงินเยอะ แน่นอนว่าส่วนใหญ่ก็พร้อมจะเสี่ยงกับ สตีเว่น สปิลเบิร์ก เพราะหนังของเขามีโอกาสจะทำเงินได้เยอะ นี่คือความได้เปรียบทางการแข่งขันของ สตีเว่น สปิลเบิร์ก 

ซึ่งความได้เปรียบทางการแข่งขันก็คือ สิทธิ์พิเศษ หรือ อาจเป็นเอกลักษณ์อะไรบางอย่าง ที่คนเลียนแบบไม่ได้ ถ้าไม่มีต้องทำให้มี เมื่อมีแล้ว ต้องรักษาความได้เปรียบนั้นเอาไว้ให้ดี

6. ลงทุนในคน

บัฟเฟต์เป็นผู้ที่ให้ความสำคัญกับการลงทุนในคนมากๆ คุณเชื่อไหมว่า บริษัท Berkshire Hathaway ของเขา มีพนักงานอยู่ที่ Office เพียง 25 คนเท่านั้น แต่บริษัทกลับรวยเป็นอันดับ 6 ของโลก

บัฟเฟต์เล่าว่า คุณสมบัติ 3 สิ่งของคนที่จะมาสมัครงานกับเขา หรือคนที่เขาเลือกเมื่อเขาอยากจะลงทุนด้วย คือ

1.ต้องซื่อสัตย์

2.ต้องฉลาด

3.ต้องเปี่ยมไปด้วยพลังงานในตัว

โดยสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ข้อแรก คือความซื่อสัตย์ เพราะหากไม่มีข้อแรก แล้วต่อให้มี 2 ข้อหลัง ก็จะกลายเป็นใช้ทั้ง 2 ข้อหลังในทางที่เป็นโทษกับคุณนั่นเอง และนี่คือเหตุผลว่าทำไมถึงมีข้อต่อไป

7. ลงทุนในความซื่อสัตย์ 

เป็นสิ่งที่บัฟเฟตต์พูดบ่อยมากว่า ความซื่อสัตย์ หรือจรรยาบรรณในการทำธุรกิจนั้น คือสิ่งสำคัญที่สุดที่คุณควรจะลงทุน

คุณอาจหาเงินได้กี่เท่าก็ตาม แต่หากความสัมพันธ์มันไม่ดี เพราะความไม่ซื่อสัตย์ของคุณ มันจะไม่มีทางการันตีได้เลยว่าบริษัทของคุณหรือการลงทุนของคุณ มันจะยั่งยืน

ที่สำคัญมันอาจทำให้คุณตกต่ำ และย่ำแย่ด้วยซ้ำ 

บัฟเฟตต์บอกว่า มันใช้เวลาเป็น 20 ปีเลยทีเดียว กว่าที่คุณจะสร้างชื่อเสียง เกียรติยศ ให้คนยกย่องคุณได้ แต่มันใช้เวลาเพียง 5 นาทีเท่านั้น ที่จะทำลายมัน ถ้าคุณเพียงตัดสินใจผิด 

“ความซื่อสัตย์ คือของขวัญทึ่แพงที่สุด ที่คุณไม่มีทางจะคาดหวังได้เลย จากคนที่ไม่ซื่อสัตย์”

8. ลงทุนในเวลา

บัฟเฟตต์มีการบริหารเวลาที่น่าสนใจมาก นั่นคือ ไม่มีประชุม ไม่เป็นระบบ นั่งนิ่งๆ และอ่านหนังสือ บัฟเฟตต์บอกว่า กิจกรรมที่เขาโปรดปรานมากที่สุดในแต่ละวัน ก็คือ นั่งเฉยๆ แล้วก็คิด ว่าเขาจะลงทุนอะไรดี 

แน่นอน มันไม่ได้หมายความว่าคุณจะต้องนั่งเฉยๆ แบบเขา มันคือการจัดสรรเวลาสำหรับคนอย่างบัฟเฟตต์ เพราะเขาเป็นนักลงทุน แต่คุณต้องจัดสรรค์ในแบบของคุณเอง ที่เหมาะกับสิ่งที่คุณเป็น

 สิ่งที่บัฟเฟตต์บอกก็คือ

“คุณต้องหาแนวทางในการใช้เวลาของตัวเองให้มีประสิทธิ์ภาพที่สุด”

9. ลงทุนในการไม่ลงทุน (แต่นำเงินนั้น ไปช่วยเหลือผู้อื่นแทน)

เอ๊ะ มันยังไง ? สิ่งที่เราอาจลืมนึกไปคือ บางทีการไม่ลงทุนมันอาจหมายถึงการลงทุนที่ดีที่สุดของเรา เนื่องจากสิ่งที่เราลงทุนไปแล้วมันดีอยู่แล้ว 

 บัฟเฟตต์ เป็นคนที่สมถะมาก ครั้งนึง บ้านที่เขาซื้อมีราคาเพียง 3หมื่นกว่าดอลล่าร์ ซึ่งคิดเป็นมูลค่าเพียง 0.001% ของสินทรัพย์ที่เขามีทั้งหมด 

ยังไม่นับ อาหารที่เขากิน ทุกเช้าเขาจะขับรถคันเดิมออกจากบ้าน ไปทำงานที่ออฟฟิศซึ่งอยู่ห่างออกไปเพียง 5 นาที และระหว่างทางเขาจะแวะ McDonald’s เพื่อซื้อเบอร์เกอร์ที่เขาชอบในราคาที่ไม่เกิน 3.17$ หรือประมาณ 105 บาท ทุกวัน และเขาทำแบบนี้มาตลอด 56 ปี

บัฟเฟตต์เคยบอกว่า บางทีเหตุผลที่เขาไม่ต้องซื้ออะไรอย่างอื่นมากมาย เพราะเขาคิดว่ามันไม่มีอะไรที่ดีกว่าสิ่งที่เขาลงทุนไปแล้ว เขาคิดว่าสิ่งที่เขาลงทุนไปแล้ว มันดีที่สุดแล้ว ดังนั้นเขาก็เลยไม่ซื้อของอะไรใหม่

แต่เขากลับเอา 99% ของสินทรัพย์ทั้งหมดที่เขามีไปลงทุนในการกุศลเพื่อช่วยเหลือคน

 นี่คือการ “ลงทุนในการไม่ลงทุน” ของบัฟเฟตต์ 

 10. ลงทุนในความรักที่ไม่มีเงื่อนไข (ไม่หวังอะไรตอบแทน)

ครั้งหนึ่งมีคนถามวอร์เรน บัฟเฟตต์ว่า คุณเป็นคนที่ให้คำแนะนำมากมายกับคนอื่น แล้วอะไรคือคำแนะนำที่ดีที่สุดที่คุณเคยได้รับ 

บัฟเฟตต์ตอบว่า มันอาจไม่ใช่คำแนะนำที่เป็นการบอกกล่าว แต่เป็นการแนะนำที่เกิดจากคนๆนึงทำให้เขาเห็นเป็นตัวอย่าง เป็นคำแนะนำผ่านการกระทำ คนนั้นก็คือพ่อของเขานั่นเอง เขาบอกว่า พ่อของเขาแสดงให้เห็นถึงพลังของความรักที่ไม่มีเงื่อนไข ซึ่งเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก

ถ้าคุณแสดงความรักที่ไม่มีเงื่อนไขให้ลูกของคุณรับรู้ได้ ก็เท่ากับคุณสอนลูกสำเร็จไปแล้ว 90% 

การแสดงความรักที่ไม่มีเงื่อนไขนั้น แม้จะทำไม่ได้ทุกวัน (บัฟเฟตต์บอกว่า เขาก็ทำไม่ได้ทุกวัน) แต่ถ้าลูกของคุณเขารับรู้ได้ว่า ไม่ว่าเขาจะไปอยู่ที่ไหนก็ตาม แต่บ้านคือที่ๆเขากลับมาได้ทุกเมื่อ นั่นคือความสำเร็จ เป็นการลงทุนที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บัฟเฟตต์บอกว่า คุณพ่อคุณแม่คนไหนที่สร้างสัมพันธ์แบบนี้กับลูกได้ตั้งแต่ยังเด็ก เขาเชื่อว่า คนๆนั้นก็จะกลายเป็นคนที่ดีได้ และช่วยเหลือคนอื่นได้ด้วย

ด้วยการ 10 การลงทุนที่ควรลงทุนให้มากกว่าเงินนี้ คุณอาจจะไม่ได้เป็นบุคคลที่รวยที่สุดในโลก เหมือนคุณปู่วอร์เรน บัฟเฟตต์ แต่คุณสามารถเป็นคนที่มีความสุขที่สุดในโลกได้

ทิ้งท้ายไว้ด้วยคำกล่าวของวอร์เรน บัฟเฟตต์ที่ดีมากๆบทนึง

 “เงิน ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนให้สุขภาพคุณดีขึ้นได้

เงิน ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนความรักของผู้อื่นที่มีต่อคุณได้

เงิน ไม่ใช่ทุกอย่างของชีวิต” วอร์เรน บัฟเฟตต์

 

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น